จำเริญ ทรงกิตรัตน์ มีชื่อจริงว่า ร้อยตำรวจเอก สำเริง ศรีมาดี เป็นชาวจังหวัดนครพนม เป็นนักมวยสากลชาวไทยคนแรกที่ได้ชิงแชมป์โลก และเป็นแชมป์สหพันธ์มวยภาคตะวันออกไกลและแปซิฟิก (OPBF) คนแรกของประเทศไทย มีฉายาว่า "จิ้งเหลนไฟ"
จำเริญหัดมวยครั้งแรกกับครูจำลอง รัตนก้านตรง เมื่ออายุ 13 ปี ตระเวนชกมวยที่บ้านเกิดจนมีชื่อเสียง เมื่อเข้ามาเรียนหนังสือในกรุงทพฯ จึงชกมวยไปด้วยโดยอยู่ที่ค่ายนฤภัย ใช้ชื่อว่า สำเริง นฤภัย ต่อมาย้ายไปอยู่คณะทรงกิตรัตน์ของกิตติ อัชชวณิชย์ ใช้ชื่อว่า "จำเริญ ทรงกิตรัตน์" จนมีชื่อเสียง ด้านการศึกษา จำเริญเรียนจบหลักสูตรพลศึกษา รับราชการตำรวจตำแหน่งครูมวยของโรงเรียนนายร้อยตำรวจ
เมื่อชกมวยไทยจนไม่มีใครสู้ มีเพียงผล พระประแดง คนเดียวที่ปราบไม่ได้ จำเริญจึงหันมาชกมวยสากลอย่างจริงจัง ได้ชิงแชมป์ OPBF รุ่นเฟเธอร์เวท แต่ไม่สำเร็จ แพ้คะแนน ลาร์รี่ บาตาน ที่ฟิลิปปินส์แบบสูสี จึงได้รับการสนับสนุนจาก พ.ต.อ. เผ่า ศรียานนท์ ให้ขึ้นชิงแชมป์ OPBF รุ่นไลท์เวทคราวนี้จำเริญสร้างประวัติศาสตร์ครองแชมป์ OPBF เป็นคนแรกของไทย ชนะคะแนน สปีดี้ คาบาเนลลา เมื่อ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2495
จำเริญป้องกันแชมป์ OPBF ครั้งเดียวแล้วจึงสละตำแหน่ง ลดลงมาชกรุ่นแบนตัมเวท จนได้ชิงแชมป์โลกกับจิมมี่ คาร์รัทเธอร์ (ออสเตรเลีย) แต่เป็นฝ่ายแพ้คะแนนไป ในการชกครั้งนี้ที่จัดที่สนามกีฬาจารุเสถียร (บางข้อมูลระบุว่าเป็นสนามศุภชลาศัย) เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2497 เป็นสนามกีฬากลางแจ้ง ปรากฏว่าเย็นนั้นฝนตกหนักจนมีน้ำขังบนเวที กรรมการและสักขีพยานเสนอให้เลื่อนการชกออกไปก่อน แต่เมื่อปรึกษากับนักชกทั้งสองฝั่งแล้ว ตกลงกันว่า จะทำการชกต่อไปตามแผนเดิม โดยจิมมี่ คาร์รัทเธอร์ เสนอให้ถอดรองเท้าชกด้วยเท้าเปล่า ทั้งคู่ชกโดยไม่สวมรองเท้า ท่ามกลางฝนที่ตกลงมาอย่างหนักเป็นเวลานับชั่วโมง ในที่สุดการชกก็สิ้นสุดลงในยกที่ 12 เมื่อไฟนีออนที่ให้แสงสว่างบนเวทีถูกลมพัดตกลงมาแตก และเศษแก้วบาดเท้าของนักมวย ไม่สามารถชกต่อได้ ผลการนับคะแนนปรากฏว่าจำเริญ ทรงกิตรัตน์เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ทั้ง ๆ ที่ท้าย ๆ การชกจำเริญเป็นฝ่ายชกคาร์รัทเธอร์บอบช้ำเจียนไปเจียนอยู่หลายครั้ง ถึงขนาดที่ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ ประธานในการชกที่นั่งส่องกล้องดูอยู่ถึงกับอุทานว่า "มันตัดสินยังไงของมันวะ" การชกครั้งนี้ได้รับการบันทึกว่า เป็นการชกชิงแชมป์โลกมวยสากลในยุคใหม่ ครั้งแรกและครั้งเดียว ที่นักชกชกด้วยเท้าเปล่า โดยไม่สวมรองเท้า ซึ่งการชกครั้งนี้ได้รับการวิจารณ์ว่าหากการชกไปตามกติกาเดิม คือ 15 ยก จำเริญน่าจะเป็นฝ่ายชนะน็อกคารัทเธอร์
หลังจากป้องกันแชมป์กับจำเริญ คาร์รัทเธอร์สละตำแหน่งไป จำเริญจึงได้ชิงแชมป์โลกอีกครั้งภายในปีเดียวกัน แต่ไม่สำเร็จอีก ในการชกชิงแชมป์ครั้งนี้กับโรแบร์ โคฮัง เมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2497 ที่สนามศุภชลาศัย จำเริญชกได้ไม่ดี ถูกนับสองครั้ง และแพ้คะแนนนักชกจากฝรั่งเศสไป
เมื่อได้แชมป์ไปแล้ว โคฮังปฏิเสธ ไม่ยอมป้องกันแชมป์กับราอูล มาเซียส (เม็กซิโก) NBA (WBA ปัจจุบัน)จึงให้มาเซียสชิงแชมป์ว่างกับจำเริญที่สหรัฐอเมริกา จำเริญจึงได้ชิงแชมป์โลกครั้งที่ 3 เมื่อ 9 มีนาคม พ.ศ. 2498 ไม่สำเร็จอีกเช่นเคย แพ้น็อค มาเซียส ยก11 จำเริญจึงแขวนไปหลังจากชกแพ้ครั้งนี้
เมื่อแขวนนวมแล้ว จำเริญรับราชการตำรวจอยู่ระยะหนึ่ง ต่อมาเกิดความผันผวนทางการเมือง จนต้องลาออกจากตำรวจ ไปทำงานที่ประเทศฝรั่งเศส กลับมาทำงานที่กรุงเทพฯระยะหนึ่ง แล้วจึงไปทำธุรกิจส่วนตัวที่เชียงใหม่ จนป่วยเป็นอัมพฤกษ์จึงกลับมารักษาตัวที่กรุงเทพฯ เสียชีวิตเมื่อ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2546 รวมอายุได้ 77 ปี